วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2551

อาณาจักรล้านนาในฐานะเมืองขึ้นของพม่าและการกอบกู้อาณาจักร






ล้านนาในฐานะเมืองขึ้นของพม่า
หลังจากที่พม่าได้เข้ายึดครองเมืองเชียงใหม่ได้แล้ว ในช่วงแรกนั้นทางพม่ายังไม่ได้เข้ามาปกครองเมืองเชียงใหม่โดยตรง แต่ยังคงให้พระเจ้าเมกุฎิ ทำการปกครองบ้านเมืองตามเดิม แต่ทางเชียงใหม่จะต้องส่งเครื่องราชบรรณาการไปให้กับทางพม่า ต่อมาพระเจ้าเมกุฎิคิดที่จะตั้งตนเป็นอิสระ ฝ่ายพม่าจึงปลดออกและแต่งตั้งพระนางราชเทวี หรือ พระนางวิสุทธิเทวี เชื้อสาย ราชวงค์ มังราย องค์สุดท้าย ขึ้นเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ จนกระทั่งพระนางราชเทวีสิ้นพระชนม์ ทางฝ่ายพม่าจึงได้ส่งเจ้านายทางฝ่ายพม่ามาปกครองแทน เพื่อคอยดูแลความเรียบร้อยของเมืองเชียงใหม่และเพื่อควบคุมการส่งส่วย กลับไปพม่า อีกประการหนึ่งก็เพื่อที่จะเกณฑ์กำลังคนและเตรียมเสบียงอาหารเพื่อทำศึกสงครามกับทางกรุงศรีอยุธยาเชียงใหม่ในฐานะเมืองขึ้นของพม่าไม่ได้สงบสุขเหมือนสมัยก่อน มีการกบฎแย่งชิงอำนาจกัน อยู่ตลอดเวลารวมทั้งมีการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างเจ้าเมืองตามหัวเมืองต่างๆ ก่อนที่ทางพม่าจะเข้ามายึด เมืองเชียงใหม่่อีกครั้งในปี พ.ศ. 2306 และได้ใช้ล้านนาเป็นฐานสำคัญในการยกกองทัพเข้าตีกรุงศีรอยุธยาและช่วงเวลานี้ก็เป็นช่วงเวลาที่ทางกรุงศรีอยุธยาได้เสียกรุงครั้งที่ 2 ให้กับพม่า รวมระยะเวลาที่ล้านนาตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าเป็นเวลาถึง 200 กว่าปี


การกอบกู้อาณาจักรล้านนา
การกอบกู้ล้านนา เกิดขึ้นเมื่อพระยาจ่าบ้าน บุญมา กับพระยากาวิละ เชื้อสายตระกูลเจ้าเจ็ดตน ได้ร่วมมือกันกอบกู้เอกราชโดยได้ไปสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้ากรุงธนบุรี และได้ขอให้ส่งกองกำลังมาตีพม่าที่มายึดล้านนา โดยพระเจ้ากรุงธนบุรี เจ้าพระยาจักรี และเจ้าพระยาสุรสีห์ ได้นำกองทัพเข้าตีเมืองเชียงใหม่ และยึดได้ในปี พ.ศ. 2317 และแต่งตั้ง ให้พระยาจ่าบ้านขึ้นเป็นพระยาวชิรปราการ เจ้าเมืองเชียงใหม่ และให้พระยากาวิละเป็นเจ้าเมืองนครลำปาง หลังจากที่ยึดเมืองเชียงใหม่ได้แล้วก็ยังมีการสู้รบกัน เรื่อยมา ทั้งจากพม่า และหัวเมืองต่างๆ เช่น เมืองเชียงแสน เมืองเชียงราย ในปี พ.ศ. 2347 พระยากาวิละได้เข้าตี เมืองเชียงแสนและเมืองเชียงราย และได้ กวาดต้อนพลเมือง เมืองเชียงแสน เมืองเชียงราย และหัวเมืองต่างๆมาไว้ตามเมืองสำคัญเช่น เชียงใหม่ ลำปาง แพร่ น่าน ส่วนหนึ่ง ก็ส่งไปกรุงเทพ การกอบกู้อาณาจักรล้านนา ครั้งนี้ อาณาจักรล้านนายังไม่ได้เป็นเอกราชอย่างแท้จริง เพราะล้านนายังอยู่ในฐานะประเทศราชของแผ่นดินสยามเมื่อพระยาจ่าบ้านเสียชีวิตลง พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงโปรดเกล้าให้พระยากาวิละเจ้าเมืองนครลำปางเป็น พระยาวชิรปราการเจ้าเมือง นครเชียงใหม่แทน เมื่อพระยากาวิละเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่แล้วก็แบ่งไพร่พลจาก เมืองนครลำปาง ไปตั้งอยู่ที่ เวียงป่าซางเป็นเวลาถึง 14 ปี เพื่อรวบรวม ไพร่พล จนถึง พ.ศ. 2339 จึงสามารถเข้าไปอยู่ในเมืองเชียงใหม่ได้ และเริ่มสะสมกำลังพลเข้าตีเมืองต่างๆ เมื่อเข้าตีได้แล้วก็ได้ทำการกวาดต้อนพลเมืองจากเมืองต่างๆซึ่งประกอบไปด้วย กลุ่มชนหลายเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ เช่น เงี้ยว ไตลื้อ ไตยอง ไตเขิน ข่า ลัวะ ยาง เป็นต้น ให้เข้ามาเป็นพลเมืองล้านนาในช่วงเวลาดังกล่าวนี้จึงได้ชื่อว่ายุค เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง ซึ่งไพร่พลพลเมืองเหล่านี้ได้เป็นกำลังสำคัญที่ช่วยในการบูรณะบ้านเมืองต่างๆโดยเฉพาะเมืองเชียงใหม่ให้กลับคืนมา

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ22 มกราคม 2552 เวลา 17:47

    เพิ่มเติมข้อมูล ประเด็นที่เจ้ากาวีละ ได้กวาดต้อนผู้คน จากเชียงราย เชียงแสน ( ชาวไทยวน) บางส่วนส่งให้ไปกรุงเทพนั้น กลุ่มนี้ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ดังนี้

    1. กลุ่มที่ถูกส่งไปอยู่เมืองสระบุรี ปัจจุบันมีศูนย์กลางที่ อ.เสาไห้ จ.สระบุรี กินอาณาเขต อ.เมือง ติดไปทางพุแค ติดไปถึง อ.แก่งคอย เช่น บ้านคำใหญ่ เป็นต้น ที่นี่เรียกตนเองว่า " ไทยยวน " คำพูดใช้ชื่อว่า " อู้คำยวน" ( นักประวัติศาสตร์กล่าวว่า "ยวน" มาจากคำว่า "โยนก"

    2. กลุ่มที่ 2 ถูกส่งไปตั้งชุมชนอยู่ที่ อ.คูบัว จ.ราชบุรี ที่นี่ ก็จะมีชุมชนของชาวยวน มีศูนย์กลางอยู่ที่ ต.คูบัว มีการใช้ภาษาพูดแบบล้านนาทุกคำพูด ( ออกจะ เก่าๆ ด้วย )

    ทั้งสองชุมชนใหญ่ ยังสืบทอดภาษา วัฒนธรรม ประเพณี สืบมาจนทุกวันนี้ จากการที่ฟังสำเนียงภาษาพูด ออกไปทางแพร่ หรือ น่าน
    เช่น เรียก จาน เป็น จ๋าน เป็นต้น

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ22 มกราคม 2552 เวลา 17:54

    ขอบคุณเจ้าของ web ครับ ที่ได้เสนอความรู้เกี่ยวกับล้านนา ขออนุญาตเข้ามาศึกษาหาความรู้ในหลายๆ โอกาสด้วยครับ ผมคนล้านนาเช่นกัน แต่มาลงหลัก ปักฐาน ในภาคกลางครับ

    คุณ พ พล

    ( ความเห็นข้างต้นเป็นของผมเองครับ )

    ตอบลบ