
ความหมายของคำว่าครูบา คำว่า "ครูบา" เป็นภาษาบาลี มาจากคำว่า "ครุปิ อาจาริโย " แปลว่าเป็นทั้งครูและอาจารย์ มาจากคำว่า"ครุปา" และเพี้ยนเป็น "ครูบา" ในที่สุด เป็นคำที่พบว่า ใช้กันเฉพาะในวัฒนธรรมล้านนาเท่านั้น เป็นตำแหน่งทางสังคมของสงฆ์ หมายถึงการยกย่องเชิดชูพระสงฆ์ผู้ได้รับ การยกย่องและ นับถือศรัทธา จากประชาชน หรือมีผลงานปรากฎแก่ชุมชน โดยจะใช้คำว่า ครูบานี้ เป็นสรรพนามนำหน้า ภิกษุสงฆ์รูปนั้นๆ พระสงฆ์ทั่วๆไปไม่มีสิทธิ์แต่งตั้งตัวเองเป็นครูบา ปัจจุบันตำแหน่งดังกล่าวยังคงมีการใช้อยู่โดยทั่วไป เช่น ครูบาวงค์ (ไชยวงค์ศาพัฒนา ) วัดพระบาทห้วยต้ม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ครูบาดวงดี วัดท่าจำปี อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ครูบาคำปาน วัดหัวขัว ตำบลทุ่งหัวช้าง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน เป็นต้น สำหรับครูบาศรีวิชัย เป็นพระสงฆ์อีกรูปหนึ่งที่ได้รับยกย่องว่าเป็น ครูบา เพราะท่านมีมีวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัด และเป็นที่เคารพและศรัทธาของประชาชนทั่วภาคเหนือ ผู้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าท่านเป็นตนบุญซึ่งเป็นตำแหน่งที่เกิดจากศรัทธาของ ชุมชนและเป็นตำแหน่ง ที่อยู่ในฐานะของการเป็นศูนย์รวมของพลังศรัทธาประชาชนอย่างแท้จริง
สถานที่เกิด ครูบาศรีวิชัยเกิดเมื่อวันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2421 (จุลศักราช 1240 ) ตรงกับปีขาล เดือน 9 เหนือ ขึ้น 11 ค่ำ (เดือน 7 ใต้) ที่บ้านปาง เมืองลี้ ปัจจุบันอยู่ในเขต ต.ศรีวิชัย อ.ลี้ จ.ลำพูน นามเดิมชื่อเฟือน หรืออินทเฟือน เป็นบุตรคนที่ 3 ใน 5 คนของนายควายและนางอุสา ต้นตระกูลเป็นหมอคล้องช้างของเจ้าหลวงดาราดิเรกฤทธิ์ ไพโรจน์ (เจ้าดาวเรือง) เจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์ที่ 7 (พ.ศ. 2414-2431) ซึ่งตรงกับสมัยของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ลำดับที่ 7 (พ.ศ.2416-2439) ของเชื้อสายตระกูลเจ้าเจ็ดตนและเป็นช่วงปลาย ของแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 หมื่นผาบซึ่งมีศักดิ์เป็นตา ของครูบาศรีวิชัยได้เข้ามาตั้งปางคล้องช้าง ที่บ้านปางซึ่งมีบิดาของครูบาศรีวิชัยติดตามมาด้วยและต่อมาจึงตั้งถิ่นฐาน ทำกินบริเวณด้าน ทิศตะวันออกของวัดบ้านปาง ในปัจจุบัน (บริเวณที่ตั้งของเสาศิลาจารึก สถานที่กำเนิดของครูบาศรีวิชัย) ศูนย์กลางอำนาจของล้านนา ในสมัยนี้ยังคงอยู่ที่เชียงใหม่ แวดล้อมด้วยเมืองเล็กต่างๆ ได้แก่ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน และบ้านปางในสมัยนั้น จัดว่าเป็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ห่างไกลตัวเมืองและความเจริญมาก การสัญจรไปมาค่อนข้างลำบาก ผู้คนส่วนใหญ่มีอาชีพทำไร่ ทำนา และหาของป่า ในเขตนี้นอกจากคนพื้นเมืองโดยทั่วไปแล้ว จากสภาพแวดล้อมของพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลความเจริญ ชีวิตในช่วงเป็นเด็กของครูบาศรีวิชัยจึง เหมือนกับเด็กบ้านนอกทั่วๆไป คืออยู่กับป่าล่าสัตว์และเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะไม่มีสถานศึกษา ไม่มีแม้กระทั่งวัดซึ่งถือว่าเป็นแหล่งความรู้และศูนย์รวม วิชาการต่างๆ ส่วนใหญ่ในสมัยนั้น
การศึกษา ครูบาศรีวิชัยเริ่มได้รับการศึกษาเมื่ออายุได้ 17 ปี โดยเข้าเป็นลูกศิษย์คอยรับใช้และเรียนหนังสือ กับครูบาขัตติยะหรือครูบาแค่งแคระ ซึ่งเป็นพระสงฆ์ที่ได้เดินธุดงค์มาพักที่บ้านปาง ชาวบ้านปางจึงได้ช่วยกันสร้างกุฏิ และวิหารชั่วคราวให้ท่านอยู่ เพื่อสั่งสอนเด็กและชาวบ้าน จนกระทั่งอายุได้ 18 ปี จึงได้บวชเป็นสามเณร โดยมีครูบาขัตติยะ เป็นอุปัชฌาย์ และต่อมาเมื่ออายุครบ 21 ปี จึงได้อุปสมบท โดยมี ครูบาสมณะ วัดบ้านโฮ่ง จ.ลำพูน เป็นอุปัชฌาย์ มีฉายาว่า "สิริวิชโยภิกขุ " หรือพระสีวิไช" ได้รับการศึกษาตามแบบอย่างประเพณีล้านนาทั่วไป กล่าวคือ นอกเหนือจากการศึกษาพระธรรมคัมภีร์ การอ่านเขียนซึ่งเป็นวิชาพื้นฐานโดยทั่วไปแล้ว ยังได้ศึกษาวิชาความรู้และศาสตร์ด้านอื่นๆด้วย ได้แก่วิชาการแพทย์แผนโบราณ โหราศาสตร์ การก่อสร้าง เวทย์มนต์คาถาและวิชาป้องกันตัวต่างๆซึ่งเป็นแบบแผนการศึกษาที่มีวัดเป็นศูนย์กลางของศาสตร์และความ รู้ด้านต่างๆ ตามแบบแผนและประเพณีของล้านนา โดยในช่วงนี้ครูบาศรีวิชัยจะให้ความสนใจเน้นหนักไปทางเรื่องของไสยศาสตร์และคาถาอาคมต่างๆ เพื่อเตรียมพร้อมที่จะลาสิกขาออกไปเป็นฆารวาส ครูบาศรีวิชัยเริ่มได้รับการศึกษาทางด้านวิปัสนาธุระกับครูบาอุปละแห่งวัดดอยแต ภายหลังจากที่ได้เข้าไปลาสิกขากับครูบาสมณะ แต่ครูบาสมณะไม่ยอมให้ลาสิกขา กลับแนะนำให้ไปศึกษาต่อกับครูบาอุปละซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของ ท่านเอง วัดดอยแตเป็นวัดในกลุ่มสายอรัญวาสีที่มุ่งเน้นการปฏิบัติ ทางด้านวิปัสสนากรรมฐาน พระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงในสายนี้ได้แก่ ครูบาวัดดอยแต ,ครูบาสมเด็จวัดดอยครั่ง (เป็นสังฆราชของลำพูนสมัยหนึ่ง) ครูบาวัดดอยคำ เป็นต้น และผลจากการ ได้ศึกษาธรรมะกับครูบาอุปละ ทั้งทางด้านปฏิบัติและ ปริยัติ ในแนวทางใหม่อย่างจริงจัง จนทำให้ครูบาศรีวิชัย ตัดสินใจหันหน้าเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้งเพื่อรับใช้พุทธศาสตร์อย่างแท้จริงและเริ่มปฏิบัติ ในแนวทางของพระสายวิปัสนากรรมฐานตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนมีชื่อเสียงทั่วไปใน ภาคเหนือผลงาน ที่สำคัญคือการเป็น ผู้นำในการบูรณะปฏิสังขรณ์ ์ศาสนสถานทั่วภาคเหนือ จนกระทั่งได้ชื่อว่าเป็นตนบุญแห่งล้านนา
สถานที่เกิด ครูบาศรีวิชัยเกิดเมื่อวันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2421 (จุลศักราช 1240 ) ตรงกับปีขาล เดือน 9 เหนือ ขึ้น 11 ค่ำ (เดือน 7 ใต้) ที่บ้านปาง เมืองลี้ ปัจจุบันอยู่ในเขต ต.ศรีวิชัย อ.ลี้ จ.ลำพูน นามเดิมชื่อเฟือน หรืออินทเฟือน เป็นบุตรคนที่ 3 ใน 5 คนของนายควายและนางอุสา ต้นตระกูลเป็นหมอคล้องช้างของเจ้าหลวงดาราดิเรกฤทธิ์ ไพโรจน์ (เจ้าดาวเรือง) เจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์ที่ 7 (พ.ศ. 2414-2431) ซึ่งตรงกับสมัยของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ลำดับที่ 7 (พ.ศ.2416-2439) ของเชื้อสายตระกูลเจ้าเจ็ดตนและเป็นช่วงปลาย ของแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 หมื่นผาบซึ่งมีศักดิ์เป็นตา ของครูบาศรีวิชัยได้เข้ามาตั้งปางคล้องช้าง ที่บ้านปางซึ่งมีบิดาของครูบาศรีวิชัยติดตามมาด้วยและต่อมาจึงตั้งถิ่นฐาน ทำกินบริเวณด้าน ทิศตะวันออกของวัดบ้านปาง ในปัจจุบัน (บริเวณที่ตั้งของเสาศิลาจารึก สถานที่กำเนิดของครูบาศรีวิชัย) ศูนย์กลางอำนาจของล้านนา ในสมัยนี้ยังคงอยู่ที่เชียงใหม่ แวดล้อมด้วยเมืองเล็กต่างๆ ได้แก่ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน และบ้านปางในสมัยนั้น จัดว่าเป็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ห่างไกลตัวเมืองและความเจริญมาก การสัญจรไปมาค่อนข้างลำบาก ผู้คนส่วนใหญ่มีอาชีพทำไร่ ทำนา และหาของป่า ในเขตนี้นอกจากคนพื้นเมืองโดยทั่วไปแล้ว จากสภาพแวดล้อมของพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลความเจริญ ชีวิตในช่วงเป็นเด็กของครูบาศรีวิชัยจึง เหมือนกับเด็กบ้านนอกทั่วๆไป คืออยู่กับป่าล่าสัตว์และเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะไม่มีสถานศึกษา ไม่มีแม้กระทั่งวัดซึ่งถือว่าเป็นแหล่งความรู้และศูนย์รวม วิชาการต่างๆ ส่วนใหญ่ในสมัยนั้น
การศึกษา ครูบาศรีวิชัยเริ่มได้รับการศึกษาเมื่ออายุได้ 17 ปี โดยเข้าเป็นลูกศิษย์คอยรับใช้และเรียนหนังสือ กับครูบาขัตติยะหรือครูบาแค่งแคระ ซึ่งเป็นพระสงฆ์ที่ได้เดินธุดงค์มาพักที่บ้านปาง ชาวบ้านปางจึงได้ช่วยกันสร้างกุฏิ และวิหารชั่วคราวให้ท่านอยู่ เพื่อสั่งสอนเด็กและชาวบ้าน จนกระทั่งอายุได้ 18 ปี จึงได้บวชเป็นสามเณร โดยมีครูบาขัตติยะ เป็นอุปัชฌาย์ และต่อมาเมื่ออายุครบ 21 ปี จึงได้อุปสมบท โดยมี ครูบาสมณะ วัดบ้านโฮ่ง จ.ลำพูน เป็นอุปัชฌาย์ มีฉายาว่า "สิริวิชโยภิกขุ " หรือพระสีวิไช" ได้รับการศึกษาตามแบบอย่างประเพณีล้านนาทั่วไป กล่าวคือ นอกเหนือจากการศึกษาพระธรรมคัมภีร์ การอ่านเขียนซึ่งเป็นวิชาพื้นฐานโดยทั่วไปแล้ว ยังได้ศึกษาวิชาความรู้และศาสตร์ด้านอื่นๆด้วย ได้แก่วิชาการแพทย์แผนโบราณ โหราศาสตร์ การก่อสร้าง เวทย์มนต์คาถาและวิชาป้องกันตัวต่างๆซึ่งเป็นแบบแผนการศึกษาที่มีวัดเป็นศูนย์กลางของศาสตร์และความ รู้ด้านต่างๆ ตามแบบแผนและประเพณีของล้านนา โดยในช่วงนี้ครูบาศรีวิชัยจะให้ความสนใจเน้นหนักไปทางเรื่องของไสยศาสตร์และคาถาอาคมต่างๆ เพื่อเตรียมพร้อมที่จะลาสิกขาออกไปเป็นฆารวาส ครูบาศรีวิชัยเริ่มได้รับการศึกษาทางด้านวิปัสนาธุระกับครูบาอุปละแห่งวัดดอยแต ภายหลังจากที่ได้เข้าไปลาสิกขากับครูบาสมณะ แต่ครูบาสมณะไม่ยอมให้ลาสิกขา กลับแนะนำให้ไปศึกษาต่อกับครูบาอุปละซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของ ท่านเอง วัดดอยแตเป็นวัดในกลุ่มสายอรัญวาสีที่มุ่งเน้นการปฏิบัติ ทางด้านวิปัสสนากรรมฐาน พระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงในสายนี้ได้แก่ ครูบาวัดดอยแต ,ครูบาสมเด็จวัดดอยครั่ง (เป็นสังฆราชของลำพูนสมัยหนึ่ง) ครูบาวัดดอยคำ เป็นต้น และผลจากการ ได้ศึกษาธรรมะกับครูบาอุปละ ทั้งทางด้านปฏิบัติและ ปริยัติ ในแนวทางใหม่อย่างจริงจัง จนทำให้ครูบาศรีวิชัย ตัดสินใจหันหน้าเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้งเพื่อรับใช้พุทธศาสตร์อย่างแท้จริงและเริ่มปฏิบัติ ในแนวทางของพระสายวิปัสนากรรมฐานตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนมีชื่อเสียงทั่วไปใน ภาคเหนือผลงาน ที่สำคัญคือการเป็น ผู้นำในการบูรณะปฏิสังขรณ์ ์ศาสนสถานทั่วภาคเหนือ จนกระทั่งได้ชื่อว่าเป็นตนบุญแห่งล้านนา
สถานที่ที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยไปสร้างพระธาตุ (เจดีย์ ) ล้วนเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จฯ ในยุคพุทธกาลทั้งสิ้น การที่จะรู้ว่าสถานที่นั้นๆ เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าอย่างไร ต้องไปอ่านจาก "ตำำนานพระเจ้าเลียบโลก" ของล้านนาเรานี่แหละ จะทำให้เกิดปฏิปทาในการสักการะบูชา พระธาตุแต่ละแห่งยิ่งขึ้น สาธุๆๆ
ตอบลบ